วันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ดินเปรี้ยว โครงการตามพระราชดำริ - หน้าบ้านจอมยุทธ


ดินเปรี้ยว

ดินเปรี้ยว หรือดินกรด (Acid soil) หมายถึง ดินที่มีค่า pH วัดได้ต่ำกว่า 7.0 ดังนั้น ดินเปรี้ยวจัด (Acid sulfate soil) จึงเป็นดินเปรี้ยวหรือดินกรดชนิดหนึ่ง แต่มีความหมายแตกต่างจากดินกรดโดยทั่ว ๆ ไป หรือดินกรดธรรมดา หนังสือคำบัญญัติศัพท์ ภูมิศาสตร์ฉบับราชบัณฑิตยสถาน (พ.ศ. 2523) ได้ให้ความหมายว่า acid sulfate soil หมายถึง ดินเปรี้ยวจัด ดินกรดจัด หรือดินกรดกำมะถัน

ดินเปรี้ยวจัด นับว่าเป็นดินที่ก่อให้เกิดปัญหาอย่างมากต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ เนื่องจากพื้นที่ดินเปรี้ยวส่วนใหญ่แพร่กระจายอยู่ทั่วไปในทุกภาคของประเทศ โดยเฉพาะที่ราบลุ่มภาคกลางตอนใต้ บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออกเฉียงใต้และชายฝั่งทะเลตะวันออกของภาคใต้ ดินเปรี้ยวจัดส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่มมีน้ำขังอยู่ตลอดช่วงฤดูฝนและลักษณะของดินเป็นดินเหนียวจึงจัดใช้เป็นพื้นที่เพาะปลูกข้าว ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้บริเวณพื้นที่ดังกล่าวให้ผลผลิตข้าวต่ำ ถึงแม้สภาพภูมิประเทศโดยทั่วไปเหมาะสมต่อการทำนาก็ตาม แต่เมื่อเปรียบเทียบกับพื้นที่ซึ่งไม่ใช่ดินเปรี้ยวจัดซึ่งจะให้ผลผลิตเฉลี่ยมากกว่าหลายเท่า ดังนั้นการแก้ไขปรับปรุงดินเปรี้ยวจัดจึงเป็นสิ่งที่ต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนและต่อเนื่อง

เมื่อพิจารณาถึงปัญหาและอุปสรรคของดินเปรี้ยวจัดพบว่าความเป็นกรดอย่างรุ่นแรงของดินเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้การเจริญเติบโตของพืชและผลผลิตของพืชตกต่ำ เพราะทำให้ความเป็นประโยชน์ของธาตุอาหารหลักของพืชลดลงหรือมีไม่พอเพียงต่อความต้องการของพืช ธาตุอาหารของพืชที่มีอยู่ในระดับต่ำคือ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส ส่วนธาตุอาหารของพืชบางชนิดมีเกินความจำเป็นซึ่งจะก่อให้เกิดอันตรายต่อการเจริญเติบโนและผลผลิตของพืชที่ปลูก เช่น อลูมิเนียม เหล็ก แมงกานีส และความเป็นกรดจัดยังมีผลต่อกิจกรรมของจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในดินและมีประโยชน์ต่อพืชมีปริมาณที่ลดลง ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นที่จะต้องหาลู่ทางที่เหมาะสมในการแก้ปัญหาดินเปรี้ยวจัดเพื่อเพิ่มปริมาณผลผลิตให้สูงขึ้น ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งเป็นการแก้ปัญหาการใช้ทรัพยากรดินให้เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่า มีประสิทธิภาพ และยั่งยืนต่อไป

ประเภทของดินเปรี้ยว ดินกรดเป็นดินที่ปัญหาทางการเกษตรเนื่องจากสมบัติที่เป็นกรดซึ่งมีผลต่อกระบวนการเจริญเติบโตของพืชแล้วส่งผลต่อปริมาณผลิตผลทางการเกษตร พบว่าดินกรดจะมีลักษณะของดินและกระบวนการเกิดดินสามารถแบ่งประเภทของดินได้ 3 ประเภท ดังนี้

ดินเปรี้ยวจัด ดินกรดจัด หรือดินกรดกำมะถัน (Acid sulfate soil) ดินเปรี้ยวจัด ดินกรดจัด หรือดินกรดกำมะถัน (Acid sulfate soil) เป็นดินทีเกิดจากการตกตะกอนของน้ำทะเลหรือตะกอนน้ำกร่อย ที่มีสารประกอบของกำมะถันซึ่งจะถูกเปลี่ยนเป็นกรดกำมะถันตามกระบวนการธรรมชาติสะสมในชั้นหน้าตัดของดินโดยจะเป็นดินที่มีความเป็นกรดสูง ความอุดมสมบูรณ์ต่ำ ขาดธาตุอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืชอย่างรุนแรง เช่นขาดธาตุฟอสฟอรัส ไนโตรเจนแถมยังมีธาตุอาหารบางชนิดเกินความจำเป็นซึ่งส่งผลร้ายหรือเป็นอันตรายต่อการเจริญเติบโตของพืชเช่น ธาตุเหล็ก อลูมิเนียม เป็นต้น

ดินอินทรีย์ หรือโดยทั่วไปเรียกว่า “ดินพรุ” ในประเทศมีดินที่เป็นดินอินทรีย์แพร่กระจายอยู่หนาแน่นอยู่ตามแนวชายแดนหรือเขตชายแดนไทยและมาเลเซียเป็นส่วนใหญ่นอกจากนั้นยังพบโดยทั่ว ๆ ไปในภาคใต้และภาคตะวันออกของประเทศ พื้นที่ที่เป็นพื้นที่พรุหรือพื้นที่ดินอินทรีย์นั้น ตามธรรมชาติจะเป็นที่ลุ่มน้ำที่มีน้ำขังอยู่ตลอดทั้งปีซึ่งเกิดจากการทับถมของพืชต่าง ๆ ที่เปื่อยผุพังเป็นชั้นหนาตั้งแต่ 40 เซนติเมตร ไปจนถึงมีความหนาประมาณ 10 เมตร มี่การสลายตัวอย่างช้าๆทำให้กรดอินทรีย์ถูกปล่อยออกมาสะสมอยู่ตลอดเวลาอย่างต่อเนื่อง ดินชนิดนี้จะมีปริมาณดินเหนียวต่ำ และมีปริมาณธาตุอาหารหลักและธาตุอาหารรองที่จำเป็นต่อพืชอยู่น้อยดินชนิดนี้ที่พบในบริเวณที่ราบลุ่มตามชายทะเลจะมีดินเปรี้ยวจัดแฝงอยู่ในชั้นล่างของดิน ถ้ามีการระบายน้ำออกจากพื้นที่บริเวณพื้นที่พรุจนถึงระดับของดินเปรี้ยวจัดแฝงอยู่จะก่อให้ปัญหาใหม่ตามมาคือจะเกิดเป็นดินกรดกำมะถันขึ้น ทำให้มีปัญหาซ้ำซ้อนทั้งดินเปรี้ยวจัดและดินอินทรีย์ ซึ่งจะทำให้เสียค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมขึ้นมาอีก

ดินกรด หรือดินกรดธรรมดา ดินกรดหรือดินกระธรรมดา เป็นดินเก่าแก่อายุมากซึ่งพบได้โดยทั่วไป ดินกรดเกิดขึ้นบริเวณพื้นที่เขตร้อนชื้นมีฝนตกชุก ดินที่ผ่านกระบวนการชะล้างหรือดินที่ถูกใช้ประโยชน์มาเป็นเวลานาน ซึ่งจะทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำเนื่องจากดินเหนียวและอินทรีย์วันถุถูกชะล้างไปด้วยมีผลทำให้ความอุดมสมบูรณ์โดยทั่วๆ ไปของดินต่ำจนถึงต่ำมาก นอกจากนี้ดินยังมีความสามารถในการอุ้มน้ำต่ำอีกด้วย

กระบวนการเกิดดินเปรี้ยวจัด กระบวนการเกิดดินเปรี้ยวจัด ประกอบด้วยกระบวนการที่สำคัญคือกระบวนการเกิดวัตถุต้นกำเนิดดินเปรี้ยวจัดหรือเรียกว่ากระบวนการสร้างดินทางธรณีวิทยา (geogenetic process) และกระบวนการเกิดชั้นดินเปรี้ยวจัดหรือเรียกว่า กระบวนการสร้างดินทางปฐพีวิทยา (pedogenetic process) ซึ่งกระบวนการเกิดวัตถุต้นกำเนิดดินเปรี้ยวจัดจะเกี่ยวข้องกับการเกิดสารประกอบไพไรท์ (pyrite) หรือสารประกอบซัลไฟด์ แต่กระบวนการเกิดชั้นดินเปรี้ยวจัดจะเกี่ยวข้องกับการออกซิไดซ์สารไพไรท์แล้วเกิดเป็นสารประกอบของกรดกำมะถัน



ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ดินเปรี้ยว

















น้ำตกสร้อยสวรรค์

น้ำตกสร้อยสวรรค์
ตั้งอยู่บนทางหลวงหมายเลข 2112 ห่างจากตัวอำเภอโขงเจียมประมาณ 30 กิโลเมตร เป็นน้ำตกขนาดใหญ่เกิด จากลำธาร 2 สายคือ ห้วยสร้อยและห้วยไผ่ที่ไหลจากหน้าผาคนละมาบรรจบกันซึ่งสูงประมาณ 20 เมตร มองดู คล้ายสร้อยที่แขวนคอ
เส้นทางไปน้ำตกสร้อยสวรรค์ประมาณ 800 เมตร 
น้ำตกสร้อยสวรรค์น้ำตกสร้อยสวรรค์
น้ำตกสร้อยสวรรค์น้ำตกสร้อยสวรรค์
น้ำตกสร้อยสวรรค์น้ำตกสร้อยสวรรค์



ทุ่งดอกไม้ป่าน้ำตกสร้อยสวรรค์ 
ตั้งอยู่บริเวณลานหินด้านบนของน้ำตกสร้อนสวรรค์ ขนาบสองฝั่งของลำห้วย ทุ่งดอกไม้ป่าบนลานหินจะบาน เฉพาะช่วงปลายฝน ต้นหนาว เท่านั้นโดยมีพื้นที่กว้างขวางจรดชายป่าเต็งรังที่อุดมสมบูรณ์ ดอกไม้ป่าบริเวณ ลานหินนี้เป็นต้นเล็กซึ่งมีทั้ง ดอกสร้อยสุวรรณา ดอกดุสิตา ดอกมณีเทวา ดอกทิพย์เกสร หญ้าวัว หยาดน้ำค้าง เป็นต้น นับเป็น เสนห์และ สีสันสำหรับการเที่ยว ชมน้ำตกสร้อยสวรรค์ได้เป็นอย่างดี ช่วงที่เหมาะสมในการท่องเที่ยว คือ ปลายต.ค.-ธ.ค.
อุทยานแห่งชาติผาแต้มอุทยานแห่งชาติผาแต้ม
อุทยานแห่งชาติผาแต้มอุทยานแห่งชาติผาแต้ม

ผาแต้ม

อุทยานแห่งชาติผาแต้ม 
อุทยานแห่งชาติผาแต้ม มีเนื้อที่ครอบคลุมอยู่ในท้องที่อำเภอโขงเจียมอำเภอศรีเมืองใหม่ และอำเภอโพธิ์ไทร จังหวัดอุบลราชธานี ประกอบด้วย สภาพป่าที่อุดมสมบูรณ์ สัตว์ป่านานาชนิด มีจุดเด่นที่สวยงามตามธรรมชาติ มากมายเช่นผาชัน น้ำตกสร้อยสวรรค์ เสาเฉลียง ถ้ำปาฏิหารย์ ภูนาทาม ในอดีตชาวบ้านท้องถิ่นที่ทำกินใน บริเวณใกล้เคียง พื้นที่ป่าภูผา น้อยคนนักที่จะเดินทางเข้าไปในป่า ดังกล่าว เนื่องจากมีความเชื่อว่าผาแต้ม เป็นเขตต้องห้าม ภูผาเหล่านี้มี ความศักดิ์สิทธิ์ เชื่อกันว่าเป็นภูผาแห่งความตาย ใครล่วงล้ำเข้าไป มักมีอันเป็นไป อาจเจ็บไข้หรือเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ผาแต้มมีชื่อเสยงโด่งดังเมื่อเมื่อคณะอาจารย์และนักศึกษาภาควิชา มนุษยวิทยา มหาวิทยาลัยศิลปากร มีการค้นพบภาพเขียนสีโบราณ สมัยก่อนประวัติศาสตร์ อายุราว 3,000-4,000 ปี ได้มาทำการสำรวจและค้นพบ ภาพเขียนสีโบราณสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่ผาแต้มจึงได้เสนอต่อ กองอุทยาน แห่งชาติ กรมป่าไม้ ขอให้จัดตั้งป่าภูผาในบริเวณผาแต้ม เป็นอุทยานแห่งชาติ โดยได้รับการประกาศให้เป็น อุทยานแห่งชาติผาแต้ม เป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 74 ของประเทศไทยและถือได้ว่า เป็นอุทยานแห่งชาติ แห่งแรกในประเทศไทยที่มีแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นเส้นกั้นพรมแดนระหว่างประเทศไทยและ ประเทศลาวเป็นแนวเขต อุทยานแห่งชาติที่ยาวที่สุดทำให้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ ทางฝั่งประเทศลาวได้เป็นอย่างดี
ย่านผาแต้ม
เป็นจุดท่องเที่ยวหลักของอุทยานฯซึ่งได้รับที่ได้รับความนิยมสถานที่ท่องเที่ยวในย่านผาแต้มรวมเอาพื้นที่บริเวณที่ ทำการอุทยานฯ ศูนย์บริกานัท่องเที่ยว บ้านพัก และลานกางเต้นท์และพื้นที่ใกล้เคียง โดยสามารถเที่ยวได้ตลอดปี
1.ภาพเขียนสี
ผาแต้มเป็นหน้าผาสูงที่สวยงามตามธรรมชาติ บริเวณด้านล่างของหน้าผามีภาพเขียนสีก่อนประวัติศาสตร์ปรากฏเรียงรายอยู่เป็นระยะ มีอายุไม่ต่ำกว่าสามพันถึงสี่พันปี ทางอุทยานฯได้ทำทางเดินจากหน้าผาด้านบนลงไป ชมภาพเขียนสีเหล่านี้เป็นภาพเขียนสีที่ยาว ที่สุดในประเทศไทยแบ่งเป็น 4 ประเภท คือ สัตว์ เครื่องมือเครื่องใช้ สัญลักษณ์ และคนด้านกลุ่มภาพเขียนสีผาแต้มแบ่งเป็น 4 กลุ่ม

1. กลุ่มภาพเขียนสีผาขาม มีทางเดินลงมาจากลานผาแต้มประมาณ 30 เมตร จากนั้นเป็นทางราบริมหน้าผาเดินไป อีก 400 เมตร จึงจะถึง ภาพค่อนข้างลบเลือนไปมากแล้ว เหลือเพียงร่องรอยคล้ายภาพก้างปลา และลายเส้นทึบ หยักไปมาคล้ายคลื่นน้ำ
2. กลุ่มภาพเขียนสีผาแต้ม จากผาขามเดินไปอีก 300 เมตร ก็จะถึง เป็นกลุ่มภาพเขียนสีที่ขนาดใหญ่ที่สุดมี จำนวนมากกว่า 300 ภาพ เรียงรายเป็นแนวยาวถึง 180 เมตร มีภาพกลุ่มสัตว์ ช้าง ปลา วัว เต่า ภาพมือ เครื่องมือ จับสัตว์น้ำ ภาพคน และภาพลวดลายเรขาคณิต บอกเล่าถึงพิธีกรรม ความเชื่อ วิถีชีวิตของมนุษย์ในยุคจับปลา-ล่าสัตว์สมัยก่อนประวัติศาสตร์
3.กลุ่มภาพเขียนสีผาหมอน มีภาพกลุ่มสัตว์ วัว ควาย ภาพคนถืออาวุธคล้ายธนู อยู่ในทุ่งหญ้าหรือนาข้าว ภาพมือ และภาพลวดลาย เรขาคณิต สะท้อนถึงการเป็นแหล่งชุมชนเกษตรกรรมเพาะปลูกข้าวเก่าแก่ของโลก
4.กลุ่มภาพเขียนสีผาหมอนน้อย มีภาพคนนุ่งกระโปรง ยืนเท้าเอว ลักษณะการวาดแบบกิ่งไม้ภาพสัญลักษณ์ ลวดลาย เรขาคณิต และภาพฝ่ามือกระจายอยู่ทั่วไป
ภาพเขียนสีผาแต้มภาพเขียนสีผาแต้ม
ภาพเขียนสีผาแต้มภาพเขียนสีผาแต้ม

































เกาะช้าง

ประวัติ เกาะช้าง

สำหรับ อุทยานแห่งชาติหมู่ เกาะช้าง หรือที่นิยมเรียกกันจนติดปากว่า เกาะช้าง นั้นตั้งอยู่ในเขตแหลมงอบ จังหวัดตราด และเป็นจังหวัดชายแดนภูมิภาคตะวันออกของประเทศไทย โดยเกาะช้างนับว่าเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 1 ในทะเลอ่าวไทย และเป็นเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในประเทศรองลงมาจากเกาะภูเก็ต มีพื้นที่รวม 268,125 ไร่ จากลักษณะการเรียงตัวกันของบรรดาหมู่เกาะน้อยใหญ่รวมกว่า 52 เกาะ มีลักษณะคล้ายกับรูปโขลงช้างเดินเรียงตัวกัน จึงเป็นสาเหตุให้เรียกหมู่เกาะแห่งนี้ว่า เกาะช้าง โดยลักษณะส่วนใหญ่ของเกาะช้างมีภูมิประเทศที่เป็นเขาสูง มีผาหินสลับซับซ้อน มียอดเขาที่สูงที่สุด คือ ยอดเขาสลักเพชร อีกทั้ง เกาะช้าง ยังมีสภาพป่าอันอุดมสมบูรณ์ และเนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่ของเกาะเป็นป่าดิบเขาทำให้เกิดเป็นน้ำตกหลายสาย
โดยในช่วงฤดูที่เป็นต้นฝนปลายร้อนแบบนี้ อากาศก็เหมาะเป็นอย่างมากในการเดินทางไปตากลมชมวิวไกลสุดลูกหูลูกตาที่ทะเล ซึมซับบรรยากาศดีๆ ผ่อนคลายสมองด้วยการมองดูน้ำทะเลใสๆ รับลมทะเลกันสักหน่อยก็น่าจะฟินไม่น้อยอยู่เหมือนกัน สนุก! ท่องเที่ยว เลยขอแนะนำ “ เกาะช้าง ” สถานที่ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับความสุขที่จะทำให้คุณสุขใจสุดๆ ที่ได้มา
ชายหาดชายหาด
ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมายัง เกาะช้าง ได้ตลอดทั้งปี แต่ช่วงที่ถือว่าเป็นฤดูการท่องเที่ยวของที่นี่คงหนีไม่พ้นช่วงหน้าร้อน โดยสำหรับที่นี่แล้วถึงแม้ว่าจะเป็นฤดูร้อนแต่อากาศบนเกาะจะไม่ร้อนมาก เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่าดิบชื้น มีภูเขาสูง เป็นแหล่งกำเนิดของต้นน้ำลำธารหลายสาย รวมถึงน้ำตกต่างๆ ที่อยู่บนเกาะ ส่วนพื้นที่ราบบริเวณเชิงเขาจะเป็นพื้นที่สำหรับการปลูกยางพาราและผลไม้ของชาวบ้านที่อาศัยอยู่บนเกาะ อาทิ สับปะรด แตงโม ทุเรียน เป็นต้น อีกทั้งยังมี 8 หมู่บ้าน ได้แแก่ สลักเพชร สลักคอก เจ้กแบ้ บ้านด่านใหม่ คลองสน คลองพร้าว คลองนนทรี และบ้านบางเบ้า มีสถาที่ราชการ อำเภอ สถานีตำรวจ โรงพยาบาล และเป็นที่ตั้งอุทยานฯหมู่ เกาะช้าง พื้นที่บางส่วนก็ยังเป็นสถานที่พักแรม ร้านอาหารตลอดจนสถานบันเทิงต่างๆ ไว้คอยให้บริการนักท่องเที่ยวที่มาเยือนอีกด้วย
อุทยานแห่งชาติเกาะช้าง
อุทยานแห่งชาติเกาะช้าง
การมาเที่ยวที่ เกาะช้าง มีกิจกรรมให้เลือกหลากหลายแล้วแต่ความชอบจะเป็นว่ายน้ำเล่นที่ชายหาด เที่ยวน้ำตก ปีนเขา เดินป่า ขี่ช้าง ท่องเที่ยวเชิงเกษตร ล่องเรือ ตกปลา ไดหมึก หรือจะไปดำน้ำดูปะการังท่ามกลางฝูงปลาน้อยใหญ่สีสันสวยงามแปลกตาตามหมู่เกาะรังหรือเกาะหวาย ที่นี่น้ำทะเลสวยใสมากทำให้เห็นปลาและปะการังได้อย่างชัดเจน เพียงแค่นำเรือมาจอดตรงจุดดำน้ำเหล่าปลาสลิดหินลายก็ออกมาต้อนรับกันอย่างคับคั่งสามารถมองเห็นได้แม้อยู่บนเรือเป็นภาพที่สร้างความประทับใจให้สำหรับแขกผู้มาเยือนเป็นอย่างมาก และเมื่อได้ดำน้ำลงไปก็สามารถเห็นปลาอีกหลากหลายชนิด เช่น ปลานกแก้ว ปลาปักเป้าลูกไก่ ปลาการ์ตูนอินเดียแดง ดอกไม้ทะเล หอยเม่น ปลิงทะเล ฯลฯ ดูเหมือนว่าเรากำลังว่ายน้ำอยู่ในตู้ปลาขนาดใหญ่


ชายหาดเกาะช้าง

การเดินทางไปเกาะช้าง

มาที่จังหวัดตราดนั้นประมาณ 300 กว่ากิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินทางพอสมควร ระหว่างทางนักท่องเที่ยวสามารถแวะพักดื่มกาแฟที่ร้านหลวงปู่กาแฟสด L.P Coffee ร้านสวยบรรยากาศดี มีเครื่องดื่มให้เลือกหลากหลายเมนู อยู่ระหว่างทางจากระยองมุ่งสู่จังหวัดจันทบุรี ร้านอยู่ติดทางหลวงหมายเลข 3 ฝั่งตรงข้ามทางแยกเข้าร้านตำนานป่า มีป้ายบอกชื่อร้านอย่างเด่นชัด เมื่อพักหายเหนื่อยแล้วก็ขับรถมุ่งตรงมายังจังหวัดตราด มาที่แหลมงอบ ที่นี่มีท่าเรือเฟอร์รี่ให้ลงได้ 2 จุด คือ ท่าเรือ เกาะช้าง เฟอร์รี่อ่าวธรรมชาติและท่าเรือเซ็นเตอร์พอยท์เฟอร์รี่ สามารถนำรถยนต์ส่วนบุคคลข้ามไปได้ ถนนบนเกาะลาดยางสะดวกสบาย แต่มีเพียงบางช่วงที่ทางค่อนข้างลาดชันจึงควรขับรถด้วยความระมัดระวัง ที่สำคัญบนเกาะนี้มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน

สถานที่เที่ยวใน เกาะช้าง

แต่สำหรับใครที่เดินทางมาถึง เกาะช้าง แล้ว แต่ยังคิดไม่ออกว่าจะเดินทางไปเที่ยวที่ไหนบนเกาะดี เราก็ได้นำเอาสถานที่ท่องเที่ยวเด็ดๆ ชิคๆ มาแนะนำให้เพื่อนๆ ได้เดินทางไปเยือนกัน

1. หาดคลองพร้าว

หาดคลองพร้าวตั้งอยู่ทางด้านตะวันของ เกาะช้าง อยู่ถัดมาจากหาดทรายขาวประมาณ 4 กิโลเมตร ลักษณะของหาดคลองพร้าวเริ่มต้นจากแหลมไชยเชษฐ์ยาวไปจนถึงหาดไก่แบ้ ชายหาดมีบรรยากาศร่มรื่นเต็มไปด้วยทิวมะพร้าว บริเวณริมหาดเรียงรายไปด้วยรีสอร์ทและร้านอาหารที่เปิดให้บริการ แต่ไม่อดอัดมา นับว่ายังคงรักษาความเงียบสงบและความเป็นส่วนตัวเอาไว้ดีพอสมควร เหมาะมากที่จะเดินทางมาพักผ่อน ลุยทราย เล่นน้ำทะเลใส หรืออาจจะชวนเพื่อนๆ มาเล่นกีฬาริมหาดก็เก๋ไม่เบาอยู่เหมือนกันนะ

2. หาดไก่แบ้

หาดไก่แบ้ตั้งอยู่ถัดห่างจากท่าเรืออ่าวสับปะรดประมาณ 15 กิโลเมตร มีขนาดเล็กกว่าและอยู่ถัดไปจากหาดคลองพร้าว เป็นสถานที่ยอดนิยมในการมาชมพระอาทิตย์ตกน้ำ ซึ่งจุดชมวิวจะอยู่ทางทิศตะวันตก สามารถมองเห็นพระอาทิตย์ตกสีสันสวยงามได้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังสามารถมองเห็นความสวยงามของเกาะมันใน เกาะมันนอก เกาะปลี และเกาะหยวกได้อีกด้วย ดังนั้นหากใครที่ต้องการเวลาพักผ่อนอันแสนเงียบสงบ มีชายหาดที่สามารถลงเล่นน้ำได้ หรืออยากจะนอนอาบแดดสบายๆ หาดไก่แบ้ก็ถือว่าสามารถตอบโจทย์ความต้องการทั้งหมดได้อย่างลงตัว

3. หาดท่าน้ำ

หาดท่าน้ำ หรือ Lonely Beach มีลักษณะเป็นอ่าวขนาดใหญ่ มีหาดทรายยาวไปจนสุดแหลมท่าน้ำ เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการหลีกหนีความวุ่นวายทุกรูปแบบ มาอิงแอบนั่งฟังเสียงคลื่นกระทบฝั่ง มองบรรยากาศชายทะเลที่ยาวสุดลูกหูลูกตา หรือจะลงเล่นน้ำทะเลสีฟ้าใสให้ความรู้สึกเย็นฉ่ำก็ดูจะเข้าที ที่นี่ ให้บรรยากาศความเป็นส่วนตัวในแบบที่หาที่ไหนไม่ได้ อีกทั้งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็มักจะเดินทางมาชมพระอาทิตย์ตกน้ำกันได้บรรยากาศโรแมนติกสุดๆ เรียกได้ว่าเหมาะเป็นอยากมากหากใครจะมาพักผ่อนในวันหยุดยาว และใช้ชีวิตร่วมกับเพื่อนเดินทางกันที่หาดท่าน้ำ 

4. อนุสรณ์ยุทธนาวี

อนุสรณ์สถานยุทธนาวีเป็นสถานที่เที่ยวชมเรื่องราวทางประวัติศาสตร์อันล้ำค่า ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของ เกาะช้าง ใกล้อ่าวสลักเพชร ซึ่งเป็นบริเวณที่เกิดการสู้รบระหว่างไทยกับฝรั่งเศสกรณีพิพาททางเขตแดนด้านตะวันออก โดยในอดีตฝ่ายไทยนั้นสามารถขับไล่ข้าศึกให้ล่าถอยไปได้ แต่ต้องสูญเสียเรือรบหลวง 3 ลำ คือ เรือรบหลวงสงขลา เรือรบหลวงชลบุรี และเรือรบหลวงธนบุรี อีกทั้งยังได้สูญเสียทหารพลประจำเรือถึง 36 นาย บริเวณภายในเป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ หันพระพักตร์ไปยังบริเวณยุทธนาวี เกาะช้าง ด้านล่างของอนุสาวรีย์ยังเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ถูกออกแบบให้มีลักษณะคล้ายกับเรือรบจำลอง เพื่อระลึกถึงเรื่องราวการสู้รบระหว่างกองทัพเรือไทยกับกองทัพเรือฝรั่งเศส อีกทั้งในวันที่ 17 มกราคมของทุกปี กองทัพเรือยังถือเป็นวันทำบุญประจำปีเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ทหารเรือไทยที่ได้สละชีวิตในการปฏิบัติหน้าที่ปกปองแผ่นดินไทย สถานที่แห่งนี้จึงกลายเป็นเชิงประวัติศาสตร์ และเป็นที่เคารพสักการะของคนในพื้นที่ รวมถึงนักท่องเที่ยว

5. น้ำตกธารมะยม

น้ำตกธารมะยมตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่ เกาะช้าง มีเส้นทางเดินเข้าไปยังน้ำตกไม่ลำบากมากนัก ซึ่งนับว่าเป็นความพิเศษของที่นี่ น้ำตกธารมะยม เป็นน้ำตกขนาดกลาง 4 ชั้น มีลักษณะเป็นธารน้ำไหลผ่านลงมาเป็นชั้นๆ ตามร่องหินแกรนิตสีดำ บริเวณโดยรอบเป็นป่าดงดิบ อีกทั้งมีหน้าผาสูงชันจนเกือบตั้งฉาก อากาศเย็นสบาย เหมาะแก่การมาตั้งแคมป์ เล่นน้ำตก และเดินป่าเป็นอย่างยิ่ง บริเวณชั้นที่ 1 ของน้ำตกจะมีแอ่งน้ำด้านหน้าที่ไม่สูงมากนัก น้ำตกชั้นที่ 2 จะอยู่สูงขึ้นไปเล็กน้อย ส่วนชั้นที่ 3 และ 4 มีระยะทางค่อนข้างไกล เดินทางลำบาก ซึ่งทางอุทยานได้จัดทำเป็นเส้นทางเดินป่าระยะไกลสำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจจะเดินป่า รวมถึงต้องมีเจ้าหน้าที่นำทางไปด้วยเพื่อความปลอดภัย

6. บ้านช้างไทย

บ้านช้างไทยเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่คนรักช้างจะต้องชื่นชอบ อยากให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาสัมผัสประสบการณ์ใหม่กับการชมวิวบนหลังช้างที่คุณอาจไม่เคยเห็นมาก่อน อีกทั้งที่บ้านช้างยังมีกิจกรรมสนุกๆ ให้เราได้ลองทำ อาทิ กิจกรรมขี่ช้างชมไพร หรือการอาบน้ำให้ช้าง เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีโชว์การแสดงความสามารถพิเศษของช้างน้อย อย่าง การระบายสี เต้นระบำ หรือการนวด รับรองได้ว่าใครที่ได้เดินทางมาที่นี่จะต้องได้ความประทับใจ พร้อมกับรูปถ่ายกลับไปเต็มกระเป๋าอย่างแน่นอน














15 อาชีพในฝันยอดฮิต

เปิด 15 อาชีพในฝันยอดฮิตตลอดกาล


15 อาชีพในฝันของใครหลายคนจะมีอาชีพอะไรกันบ้างไปดูกันเลย...
อาชีพแรก คุณหมอ ใครๆก็อยากเป็นทั้งนั้น แต่จะไปถึงฝันก็ต้องพยายามมากเลยทีเดียว

อาชีพที่ 2 ครู อาชีพที่เสียสละ เป็นอาชีพที่สอนให้คนเป็นคนอย่างแท้จริง

อาชีพที่ 3 แอร์โอสเตส/สจ๊วด  หนุ่มสาวรุ่นใหม่ หลายคนฝันอยากเป็นแอร์-สจ๊วด กันมากมาย

อาชีพที่ 4 วิศวกร อีกหนึ่งอาชีพที่หนุ่มๆหลายคนใฝ่ฝัน

อาชีพที่ 5 พยาบาล อาชีพที่ดูสะอาด สดใส แถมได้ช่วยเหลือคนไข้ที่เจ็บป่วย

อาชีพที่ 6 นักธุรกิจ ใครๆก็อยากเป็นนักธุรกิจเพราะเท่ห์มากมาย รายได้ดีด้วย

อาชีพที่ 7 ศิลปิน ดารา นักร้อง ใครๆก็อย่างก้าวเข้ามาสู่วงการบันเทิงกันทั้งนั้นจริงไหม?

อาชีพที่ 8 ทนายความ  อาชีพที่ต้องใช้ยุธติธรรมสูงมากๆ เหมาะกับน้องๆที่รักความยุติธรรมเป็นที่สุด

อาชีพที่ 9 สถาปนิก งานออกแบบ วางแผน หนึ่งในความฝันของน้องๆหลายคน

อาชีพที่ 10 ตำรวจ ทหาร  หนุ่มๆหลายคนฝันอยากเป็นคนในเครื่องแบบสักครั้ง

อาชีพที่ 11 นักบิน  สุดยอดอาชีพในฝันของเด็กผู้ชายหลายคน อย่างเท่ห์!

อาชีพที่ 12 มัคคุเทศก์ ไกท์นำเที่ยวนี่แหละสุดยอดความฝันของใครหลายคน

อาชีพที่ 13 กุ๊ก/เชฟ เชฟก็เท่ห์ไม่เบาทำอาหารอร่อยๆให้คนอื่นได้ทานอย่างมีความสุข

อาชีพที่ 14 ล่าม  เป็นล่ามก็เงินเยอะใช้เล่น แถมได้รู้ภาษาแบบแบบลึกๆอีกด้วย

และสุดท้ายอาชีพที่ 15 นักข่าว หนึ่งในอาชีพในฝันของหนุ่มสาวยุคใหม่

เรือไททานิค




ความประมาทบนไททานิค

ก่อนหน้าเรือไททานิคจะชนกับภูเขาน้ำแข็งในทะเลแถบแอตแลนติกเหนือ ลูกเรือในห้องวิทยุได้รับคำเตือนจากเรือลำอื่นๆ ที่อยู่ในเส้นทางเดียวกัน ถึงภูเขาน้ำแข็งยักษ์ในเส้นทางที่พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปหลายครั้ง แต่ดูเหมือนว่าพนักงานห้องวิทยุจะยุ่งอยู่กับการส่งโทรเลขถึงแผ่นดินใหญ่ให้ผู้โดยสาร และคิดว่าเป็นหน้าที่ของต้นเรือในการดูแลเรื่องเส้นทาง
ที่สำคัญ พนักงานวิทยุนี้ไม่ได้เป็นลูกเรือโดยตรงของสายการเดินเรือ ไวต์ สตาร์ (White Star Line) ผู้สร้างเรือไททานิค จึงเป็นไปได้ว่าไม่รู้ระบบการทำงานภายในเรือที่จำเป็นต้องแจ้งให้กัปตันและต้นเรือทราบ
กระทั่งผู้บังคับเรือได้รับแจ้งว่าพบภูเขาน้ำแข็งอยู่ในเส้นทาง แต่ด้วยกำลังเดินเรือด้วยความเร็ว 21 นอต ทำให้ไม่สามารถหันหัวเรือหลบได้ทัน จึงถูกชนด้านกราบขวาเรือ เป็นเหตุให้อับปางลงในเวลา 02.15 น. ของวันที่ 15 เม.ย. 1912
ในเวลานั้นเรือที่ใกล้ไททานิคที่สุดคือ เรือแคลิฟอร์เนียน (SS Californian) กลับไม่ได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือเพราะเจ้าหน้าที่ห้องวิทยุหลับ ส่วนเรือที่ได้รับสัญญาณคือเรือคาร์พาเธีย ((RMS Capathia) ของสายการเดินเรือคูนาร์ด (Cunard Line) ซึ่งเป็นคู่แข่งของสายการเดินเรือไวต์ สตาร์ ต้องใช้เวลาเดินทางถึง 4 ชั่วโมง เพื่อเดินทางมาช่วยเหลือ อีกทั้งเรือชูชีพยังมีไม่เพียงพอและเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้ฝึกซ้อมและทราบจำนวนที่นั่งที่แท้จริง เหตุการณ์ในครั้งนั้นจึงมีผู้เสียชีวิตราว 1,500 คน เป็นความประมาทอย่างไม่ให้โอกาสกัปตันเอ็ดเวิร์ด จอห์น สมิธ ซึ่งเป็นกำลังฝีมือดีและกำลังจะเกษียณอายุงานและลูกเรือได้แก้ตัวอีกเลย
ลางร้ายไททานิค
ย้อนกลับถึงช่วงตอนต้นของการสร้างเรือ มีเหตุการณ์ที่ผู้คนเชื่อกันว่าเป็นลางร้ายของเรือไททานิคมากมาย เริ่มตั้งแต่ก่อนหน้าการสร้างเรือถึง 14 ปี มีนวนิยายที่เขียนโดย มอร์แกน โรเบิร์ตสัน ชื่อ Futility กล่าวถึงเรือโดยสารยักษ์นามไททัน ซึ่งมีขนาดและความจุผู้โดยสารใกล้เคียงกับไททานิค มีสัญชาติอังกฤษเหมือนกัน เส้นทางเดินเรือเดียวกัน จุดที่เรือจมคือแถบทะเลแอตแลนติกเหนือ โดยเวลาในนิยายกับความเป็นจริงนั้นต่างกันเพียง 2 ชั่วโมง ซึ่งเนื้อเรื่องก็กล่าวถึงการล่มของเรือด้วยการชนกับภูเขาน้ำแข็งเช่นเดียวกัน เรียกว่าเป็นการสอดคล้องกันอย่างบังเอิญเท่านั้น


มาถึงวันก่อนหน้าการเดินทางของไททานิค มีการประท้วงของคนงานโรงถ่านหิน ทำให้เรือหลายลำต้องจอดเต็มท่าเรือเพราะไม่มีถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง ซึ่งจริงๆ แล้ว เรือไททานิคต้องเป็นหนึ่งในนั้นด้วย หากเนื่องจากมีลูกค้ามารออยู่เกือบเต็มลำ ทั้งไม่อยากให้เสียกำหนดการ แล้วพวกเขาก็มีถ่านหินสำรองเพียงพอที่จะเดินทางได้ จึงออกเดินเรือในที่สุด
ระหว่างที่ออกตัว ด้วยความที่เป็นเรือใหญ่ ทำให้เกิดกระแสน้ำดูดเรือลำข้างๆ เข้าหาจนเกือบไม่ได้ไปต่อตั้งแต่เริ่มเดินทางนั่นแหละ นับเป็นอีกหนึ่งลางร้ายที่บอกเหตุว่าไททานิคไม่ควรที่จะออกจากท่า โดยการออกตัวในครั้งนั้นทำให้เรือโอลิมปิก ซึ่งเป็นเรือพี่ของไททานิคได้รับความเสียหาย ต่อมาไวต์ สตาร์ จึงปรับปรุงซ่อมแซมใหม่จนกลายเป็นเรือที่ใหญ่กว่าไททานิคภายในปีเดียวกัน
ความเชื่ออีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เรือไททานิคจมก็คือคำสาปมัมมี่ ที่อยู่ในโลงพระศพเจ้าหญิงอาเมนรา ซึ่งเคยมีชีวิตอยู่ในช่วง 1,500 ปีก่อนคริสตกาล เดิมทีพระศพนี้ตั้งอยู่ในสุสานลักซอร์ ริมแม่น้ำไนล์ และถูกขโมยส่งต่อมาถึงพิพิธภัณฑ์ในประเทศอังกฤษ ว่ากันว่าทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางของพระศพ กระทั่งเจ้าหน้าที่ยกโลงของพิพิธภัณฑ์ ช่างภาพที่ถ่ายโลงพระศพล้วนแต่ไม่ตายดี ไม่เจออุบัติเหตุหรือฆ่าตัวตาย ก็เป็นโรคที่ไม่มีทางรักษาหาย ถ้ารอดชีวิตก็มีชะตาตกต่ำถึงขีดสุด กระทั่งทางพิพิธภัณฑ์เองยังไม่สามารถเก็บรักษาโลงพระศพนี้ไว้ได้ เพราะยามเฝ้าพิพิธภัณฑ์ได้ยินเสียงทุบโลงและเสียงร่ำไห้ออกมาทุกค่ำคืน และเหตุการณ์แปลกประหลาดชวนขนหัวลุกอีกมากมาย จนมีนักโบราณคดีชาวอเมริกันยอมซื้อไปเก็บไว้ที่กรุงนิวยอร์ก โดยขนส่งทางเรือไททานิคเที่ยวปฐมฤกษ์ และในที่สุดก็จมลงไปพร้อมกับเรือและชีวิตลูกเรือระหว่างเดินทางครั้งนั้น อย่างไรก็ดี ข้อมูลนี้ยังไม่ได้รับการยืนยันอย่างแน่ชัดว่าไททานิคได้ขนมัมมี่ในเที่ยวนั้นจริงหรือไม่
ลางร้ายอีกอย่างหนึ่งของเรือไททานิค คือไม่เคยผ่านพิธีกรรมในการตั้งชื่อเรือตามธรรมเนียมที่ถูกต้องมาก่อน การตั้งชื่อเรือนั้นโดยปกติแล้วจะตั้งตามชื่อเมือง สถานที่สำคัญ ตัวละครที่มีชื่อเสียง ในยุคหลังจึงเริ่มนำชื่อบุคคลที่มีชื่อเสียงมาเป็นชื่อเรือเพื่อบ่งบอกถึงบุคคลิกและวัตถุประสงค์ของการสร้างเรือนั้นๆ
สำหรับเรือไททานิค ซึ่งเวลานั้นมีสายการเดินเรือคู่แข่งสำคัญ คือสายการเดินเรือคูนาร์ด หากเป็นยุคปัจจุบันเปรียบได้กับบริษัทโบอิ้งและแอร์บัส คู่แข่งด้านการผลิตเครื่องบินโดยสาร ทั้งสองค่ายนี้จะมีเอกลักษณ์การตั้งชื่อเรือที่แตกต่างกันออกไป โดย ไวต์ สตาร์ จะตั้งชื่อเรือโดยลงท้ายด้วย -ic อย่างเช่นชื่อเรือก่อนหน้านี้ คือ เรือเซลติก (RMS Celtic) เรือเซดดริก (RMS Cedric) และเรือบอลติก (RMS Baltic) คำนำหน้าชื่อเรืออาร์เอ็มเอสนั้น ย่อมาจาก รอยัล เมล ชิป (RMS - Royal Mail Ship) หมายถึง เรือที่ได้รับอนุญาตส่งจดหมายและพัสดุของสหราชอาณาจักร ซึ่งต้องเป็นเรือที่มีความเร็วในการเดินเรือสูง เพื่อจดหมายจะต้องส่งถึงปลายทางอย่างรวดเร็ว
ขณะที่ คูนาร์ด จะตั้งชื่อเรือลงท้ายด้วย ia เช่น เรือลูซิทาเนีย (RMS Lusitania) เรือมอริทาเนีย (RMS Mauretania) และเรือที่มาช่วยผู้โดยสารไททานิค อย่าง คาร์พาเธีย
โจเซฟ บรูซ อิสเมย์ ผู้บริหารของไวต์ สตาร์ วางแผนสร้างเรือที่มีขนาดใหญ่และหรูหรากว่าเรือมอริทาเนียของคูนาร์ด ที่ครองความเป็นเรือโดยสารที่ใหญ่ที่สุดในโลกนานถึง 4 ปี ด้วยการสร้างเรือกลุ่มโอลิมปิกขึ้นมา 3 ลำ ให้เป็นเรือโดยสารที่มีความใหญ่โตและหรูหรา โดยมีชื่อเรือทั้ง 3 ลำนี้ ว่า โอลิมปิก ไททานิค และไจแกนติก ซึ่งนำชื่อเหล่านี้มาจากตำนานเทพปกรณัม

































วันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2559

กีฬาสี


กีฬาสีโรงเรียนตราดสรรเสริญวิทยาคม

งานกีฬาสีของโรงเรียนของเรามีทั้งหมด 2 สี ได้แก่ สีขาวและสีดำ
ตัวผมเองก็อยู่สีขาวแต่ไม่ได้ไปทำกิจกรรมอะไรมากมายสักเท่าไหร่ เพราะผมติดงานในการแข่งศิลปหัตถกรรมนักเรียนจึงต้องขออาจารย์ไปซ้อมร้องเพลงที่จะแข่งขันในครั้งนี้ แต่ผมก็รู้สึกประทับใจมากในงานกีฬาสีครั้งนี้ มีทั้งแปลอักษรเป็นเลข ๙ และอื่นๆอีกมากมายทุกคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองในแต่ละงานที่ได้รับไม่ว่าจะเป็น การแข่งกีฬาต่างๆและกองเชียร์ใรงานกีฬาสีโรงเรียนและผมก็มีรูปในกิจกรรมกีฬาสีอยู่มากมายดังนี้

#พวกเราร่วมใจแปลอักษร

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ



#เป็นกองเชียร์สีขาว





#เป็นกำลังใจให้พี่ๆที่แข่งกีฬา




#นั่งดูพี่ๆแข่งบอล